วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

Social Media เครื่องมือธุรกิจที่คุณควรรู้

 Social Media เครื่องมือธุรกิจที่คุณควรรู้



     Social Media หรือสื่อสังคมกลายเป็นสื่อใหม่ที่นักการตลาดพูดถึงไม่ขาดปากในนาทีนี้ ทั้งการสร้าง Application ให้ชาวสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้เพลิดเพลิน การสร้างแฟนเพจใน Social Network อย่างเฟซบุ๊ก การสร้างแอคเคาท์โต้ตอบในทวิตเตอร์ การสร้างวิดีโอในยูทูบและอีกหลายสารพันวิธีที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดการรับรู้ในแบรนด์โดยไม่ต้องพึ่งพาสื่อเก่า อย่างวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือสิ่งพิมพ์และสื่ออื่นๆ ซึ่งมีต้นทุนแพงและวัดผลคุ้มค่าได้ยากบทความนี้จะรวบรวม"ธรรมชาติ"ของ Social Media ที่ทุกธุรกิจจะต้องเจอหากคิดจะทำการตลาดด้วย Social Media


1.ธรรมชาติของการตลาดบนเครือข่ายสังคม
ลูกค้าคิดว่า ต้องเดี๋ยวนี้-ตอนนี้
       ธุรกิจที่คิดจะโต้ตอบกับลูกค้าผ่านเฟซบุ๊กหรือ Social Network อื่น ควรใช้เวลาในการตอบอย่างมากที่สุดคือ 1 ชั่วโมง จุดนี้มีการสำรวจพบว่า หากไม่มีการโต้ตอบใน 24 ชั่วโมงจะกลายเป็นความรู้สึกไม่ดีในจิตใจของลูกค้า

ลูกค้าเกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง เมื่อไม่พอใจ ลูกค้าที่สื่อสารบน Social Network จะมีแนวโน้มรุนแรงและแสดงออกถึงความไม่พอใจมากกว่าการพบเจอพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์ ธุรกิจที่จะจ้างคนมาดูแลการโต้ตอบบนแฟนเพจจึงต้องถามตัวเองว่า สามารถจ้างคนที่มีวุฒิภาวะพอต่อการตอบความไม่พอใจของผู้บริโภคได้หรือไม่ และควรตอบอย่างไ
การบอกต่อที่รวดเร็วSocial Media เป็นสื่อที่คนทั่วโลกสามารถเข้ามาชมเมื่อไรก็ได้บนความถี่เท่าที่ต้องการ ดังนั้นกระแสการบอกต่อที่รวดเร็วย่อมเกิดขึ้นจากสื่อใหม่กระแสแรงนี้ แต่การบอกต่อที่รวดเร็วอาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้สูง ขณะเดียวกัน หากเรื่องราวที่บอกต่อเป็นเรื่องในแง่ลบ ก็ทำให้ธุรกิจเสียหายหลายแสนเหมือนกัน
เกิดคำถามว่าเป็นหน้าที่ใคร กระแส Social Media ของหลายบริษัทไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทีมการตลาด เช่น ในบริษัทอาร์เอส ผู้บริหารและศิลปินต่างลงมือตอบแฟนเพจเองหรือในดีแทค ที่ผู้บริหารและพนักงานที่ไม่ใช่ทีมการตลาดต่างร่วมกันส่งต่อคลิปโฆษณาชิ้นหนึ่งบนยูทูบ จนทำให้ดีแทคไม่ต้องเสียเงินซื้อสื่อแต่สามารถดึงชาวเน็ตหลายแสนคนเข้ามาดูโฆษณาของดีแทคได้
ไม่เข้าใจจะไม่ยั่งยืน คำถามที่ทุกธุรกิจต้องพบเจอคือ"เคยใช้ Social Media"เหล่านี้หรือไม่ เพราะการใช้จริงจะทำให้เกิดความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภค นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ต้องมีไกด์ไลน์ ศีลอีกข้อที่ธุรกิจควรปฏิบัติเมื่อเปิดแฟนเพจในเครือข่ายสังคมแล้ว คือ การสร้างไกด์ไลน์ว่าจะตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใดเป็นหลัก เช่น หญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ จุดนี้ธุรกิจควรต้องสร้างคาแรคเตอร์ของตัวเองว่าเป็นใคร พูดภาษาอะไร ควรตอบ Content ลักษณะใด มีตารางการอัปเดตความถี่เท่าใดเหล่านี้ธุรกิจในต่างประเทศ ล้วนมีการกำหนดเป็นคัมภีร์ให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตาม ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถบริหาร Social Media ได้ดี
ระวังจบแคมเปญปุ๊บ คนหายปั๊บ การสำรวจพบว่าชาวออนไลน์ที่เข้ามาร่วมสนุกในแฟนเพจขององค์กรนั้น ราว 40%ต้องการของฟรี มีเพียง 10-20%เท่านั้นที่ต้องการข้อมูลบริษัทจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เมื่อจบแคมเปญ ผู้ใช้จะหายหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหน้าที่ของธุรกิจ คือการรั้งให้ผู้ใช้ติดใจกับแฟนเพจบริษัทให้มากที่สุด ไม่ใช่การนำเสนอรางวัลอย่างเดียว
ปริมาณแฟนมีผลต่อการรับรู้ สาเหตุที่หลายบริษัทแข่งกันเหลือเกินในการรวบรวม"แฟน"หรือผู้ติดตาม ในเครือข่ายสังคม เพราะเมื่อองค์กรพูดอะไรออกไป แฟนนับแสนในแฟนเพจจะได้เห็นก่อน ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการนำไปสู่การตลาดปากต่อปาก 
2. ธรรมชาติของ Application

- ค่าใช้จ่ายในการทำ Application บนไอโฟนตัวหนึ่งของภาคธุรกิจคือประมาณ 2 แสนบาท
- ป้ายโฆษณาหรือแบนเนอร์บน Application ที่มียอดการคลิกมากกว่าการลงโฆษณากับกูเกิล
- iAd คือดาวเด่นที่นักการตลาดไทยให้ความสนใจ มันคือโฆษณาบนApplicationที่แอคทีฟ-โต้ตอบได้ มาในรูปวิดีโอหรือเกม "Application ซ้อนใน Application" นี้จะทำให้ลูกค้าใช้เวลากับโฆษณามากขึ้น อย่างไรก็ตาม iAd ซึ่งเป็นผลงานสร้างสรรค์ของแอปเปิลนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง คาดว่าค่าใช้จ่ายจะถูกลดลงในปีนี้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก-รายย่อย
- หลายบริษัทเลือกพัฒนา Application บนเฟซบุ๊ก แทนการพัฒนาApplicationสำหรับไอโฟน เนื่องจากเฟซบุ๊กนั้นเปิดกว้าง ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์อะไร ใช้งานอะไรเพื่อนก็จะได้เห็น
- กฎ 2 ข้อของการสร้าง Application เพื่อให้เกิดการบอกต่อปากต่อปาก 1 คือต้องเข้าใจง่าย 2 คือเป็นเรื่องใกล้ตัว ดังนั้นการคิดกิจกรรมใด ๆ จึงต้องมีการศึกษาและสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคให้ดี

3. ธรรมชาติเบ็ดเตล็ด

- นาทีนี้คำว่า Ramen Profitable กำลังมาแรง หมายถึงความสามารถในการทำกำไรได้เร็วในธุรกิจที่มีพนักงานเพียง 1-2 คนบนต้นทุนแสนต่ำ โดยนักเศรษฐศาสตร์พบว่าเทคโนโลยีไอทีในขณะนี้ทำให้เกิดความสามารถในการทำ กำไรแบบนี้ได้จริง เช่น เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติงที่ทำให้ภาคธุรกิจไม่ต้องลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์
- หนึ่งในเทรนด์แรงด้านการตลาดออนไลน์นับจากนี้ คือ Semantic Web เป็นเทคโนโลยี Web 3.0 ที่นำไปสู่การตลาดแบบ pull จุดเด่นคือการทำให้ข้อมูลสามารถสร้างการเชื่อมโยงกันเอง ระบบสามารถรับรู้ว่านี่คือข้อมูลอะไร ตัวอย่าง Metadata เหล่านี้ได้แก่ Tripit.com เว็บไซต์จองตั๋วเครื่องบินไม่ธรรมดา เพราะมีระบบที่สามารถดึงคะแนนสะสมชั่วโมงบินหรือ Miles พร้อมกับเสนอข้อมูลการแลกรางวัลกับสถานีที่ท่องเที่ยวแบบอัตโนมัติในที่ เดียว เป็นต้น
- Social Media ไม่ฟรี มีต้นทุน ธุรกิจต้องสมดุลย์กับสื่อเก่าให้ดี
- ลดการปิดคอมเมนต์เพื่อรักษาภาพลักษณ์ในองค์กร จะทำให้ธุรกิจได้รู้ความต้องการที่แท้จริงลูกค้า
- อย่ารีบ หลายบริษัทคิดว่าการตลาดบน Social Media จะสำเร็จในวันสองวัน แต่ความจริงแล้วสื่อประเภทนี้ต้องใช้เวลาในการสะสมชื่อเสียง อย่าเทียบกับสื่ออย่างวิทยุที่เปิดทีเดียวครั้งเดียวมีคนดูหลายคน
- อย่าออนไลน์หมด ให้โยนบางอย่างมาบนกิจกรรมออฟไลน์บ้าง ธุรกิจควรดึงลูกค้าออกมาเจอตัวพนักงานหรือหน้าร้านเพื่อความไว้วางใจ ทางที่ดีควรมีลูกเล่นให้เชื่อมโยงต่อกัน
- บันได 4 ขั้นในการขี่กระแสไอทีในอนาคต คือ
      1. ธุรกิจต้องเข้าใจก่อนว่ามันทำอะไรได้
        2. จากนั้นค่อยนำความสามารถนั้น ๆ มาเชื่อมต่อกับเครือข่าย
      3. ดึงผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ปรากฏบนอุปกรณ์
      4. ที่สำคัญที่สุดคือการทดลองสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสร้างความต่างในตลาด

- อย่าตามกรอบ ทฤษฏีการตลาดเป็นแค่พาหะนำคุณไปสู่จุดหมายเท่านั้น ไม่ใช่ภาระที่คุณต้องนำไปถ่วงคอตัวเองไว้

ปรับแผน 5 อย่าง รับมือการเปลี่ยนแปลงโซเชียลมีเดียมาร์เก็ตติ้ง

http://www.prosoftcreative.com

     ภาพรวมของ 2556 สำหรับการตลาดในเมืองไทย ขอโฟกัสที่ 5 เทรนด์ดิจิทัลและโซเชียลเน็ตเวิร์คที่เข้ามาเปลี่ยนวิธีการและรูปแบบของการสื่อสารการตลาดชนิดที่เรียกว่าพลิกฝ่ามือกันเลยทีเดียว

เทรนด์ที่ 1: Smart Device For Smart Social Network
     ในปี 2556 ผู้บริโภคในกรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ๆ หันมาสนใจการใช้งานโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนกันเยอะประกอบกับราคาของเครื่องพวกนี้ก็ไม่ได้แพง อย่างไอโฟนที่เป็นเจ้าตลาดเองก็มีหลากหลายราคาทั้งแพงและถูก ไม่นับรวมซัมซุงที่มีสารพัดราคาตั้งแต่เครื่องละ 2-3 พัน ไปยันหลักหมื่น ทั้งหมดที่ว่ามานี้จะทำให้การใช้โทรศัพท์เป็นลักษณะของดาต้ามากกว่าวอยซ์พูดง่ายๆ คือ คนจะเล่นอินเทอร์เน็ตบนมือถือบนหน้าจอเล็กๆ มากกว่าหน้าคอมพิวเตอร์แล้วนั่นเองครับ

เทรนด์ที่ 2: 3จี ขนานแท้ เร็ว แรง ครอบคลุมมากขึ้น 

     ในที่สุดเมืองไทยเราก็ประมูลคลื่น 3จี แบบ 2.1 กิกะเฮิรตซ์กันได้ หมายความว่า ระบบ 3จี แท้ๆ จะทำให้การเล่นเน็ตบนโทรศัพท์เร็วขึ้นมาก เราจะโหลดคลิปวีดีโอ หรือไลฟ์ สตรีม รายการโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ตกันแบบคล่องปรื๊ด ส่งผลให้มีเดียเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย กลายเป็นว่าหน้าจอมือถือจะเป็นมีเดียหลักของคนเมืองและคนที่อาศัยตามหัวเมืองใหญ่ ตอนนี้หลายๆ คนเริ่มดูละครโทรทัศน์ย้อนหลังกันในยูทูบใช่ไหมครับ คราวนี้ดูยูทูบผ่านมือถือได้ราบรื่นอย่างไร้รอยต่อกันเลยทีเดียว

เทรนด์ที่ 3 : M-Commerce
       บัตรเครดิตจะถูกเอาไปยัดใส่ในมือถือ ทีนี้เวลาจะซื้อจะขายอะไร ก็แค่เปิดแอพบนโทรศัพท์มือถือ แล้วเลือกชำระเงินได้ทันทีเลย ไม่ต้องไปโอนเงินผ่านเอทีเอ็ม หรือไปที่ธนาคารให้ยุ่งยากอีกต่อไป จริง ๆ เทรนด์นี้เกิดขึ้นกับคนกรุงเทพฯ มาสัก 2-3 ปีละครับ แต่เพิ่งมาบูมเอามาก ๆ ในปีนี้

เทรนด์ที่ 4 : App Base
      ถือเป็นมาตรฐานการสื่อสารบนสมาร์ทโฟนทีเดียว เมื่อก่อนเราอาจจะบอกว่าเปิดหน้าเว็บจากสมาร์ทโฟนก็พอไหว บางเว็บก็ทำโมบายไซต์ให้เลยด้วยซ้ำไปก็สะดวก อย่างไรผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็จะคุ้นชินกับรูปแบบแอพเสียมากกว่าเรียกว่าใช้แอพจนเคยตัวเลย ดังนั้นยุคของการนั่งจำชื่อเว็บไซต์คงหมดไปได้ในยุคนี้ต่อไปคนจะเริ่มจดจำแบรนด์ในชื่อของแอพ จะไม่จำชื่อเว็บไซต์หรือ URL ยาวๆ แล้วครับ

เทรนด์ที่ 5 : Location Base Fever      สืบเนื่องจากอะไรๆ ที่เราไปเช็คอินกันไว้ในปีที่แล้วนั่นละครับ กลายเป็นว่าการเช็คอินถือเป็นพฤติกรรมที่ติดตัวคนเมืองแล้ว ไม่ว่าจะผ่านแอพหรือผ่านเครื่องมือถือเฉพาะที่สร้างมาเพื่อรองรับกิจกรรมทางการตลาดใดๆ ก็แล้วแต่ ในปีนี้เราจะเห็นบ้านเมืองเรามีโปรโมชั่นเช็คเพื่อ ลด แลก แจก แถมกันให้วุ่นวายเลยทีเดียวครับ

ร้านค้าออนไลน์คืออะไร

http://www.prosoftcreative.com/

     ร้านค้าออนไลน์ถือเป็นสื่อกลางในการซื้อขายสินค้าระหว่างผู้ประกอบการกับลูกค้าอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งเป็นสื่อทางด้านระบบออนไลน์ กล่าวคือมีเว็บไซต์และระบบจัดการซื้อขาย เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการรายนั้นๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในที่นี้ร้านค้าออนไลน์จะถูกออกแบบให้เหมือนกับร้านค้าที่แสงดรายละเอียดสินค้า ราคา และการบริการทั้งหมดที่ร้านนั้นๆ มีอยู่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเข้ามาซื้อผ่านเว็บไซต์ โดยไม่ต้องมีการเดินทางเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่ทันสมัย สามารถขายของได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประหยัดค่าใช้จ่ายและลงทุนต่ำ

     ร้านค้าออนไลน์ถือเป็น E-Commerce ที่มีระบบซื้อขายสินค้า (Shopping Cart) อยู่บนเว็บไซต์ อีกทั้งยังมีระบบแสดงความคิดเห็นต่อสินค้าและบริการเพื่อส่งตรงถึงเจ้าของร้าน ซึ่งทำให้เจ้าของร้านได้รับ Feedback จากลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

ร้านค้าออนไลน์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. การจ้าง design 
       เป็นเว็บไซต์ที่จ้างออกแบบเพื่อให้ได้เว็บไซต์ในรูปแบบที่เจ้าของร้านต้องการทุกประการ ร้านค้าออนไลน์ประเภทนี้ต้องใช้เวลาในการ design การเขียน Code พอสมควร แต่ลูกค้าจะได้รับระบบเว็บไซต์ตามความต้องการ ซึ่งราคาของร้านค้าออนไลน์ประเภทนี้ขึ้นอยู่กับระดับความยากง่ายและคุณสมบัติของเว็บไซต์นั้นๆ

2. ร้านค้าสำเร็จรูป 

       เป็นเว็บไซต์ที่ถูกออกแบบหน้าเว็บไซต์ไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านค้าสามารถเลือกใช้บริการตามความต้องการของตนเองได้เลย โดยการเลือก Theme และทำการจัดรูปแบบร้าน ลงรายละเอียดสินค้าได้เองในระยะเวลาอันสั้น โดยที่เจ้าของกิจการไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านการทำเว็บไซต์ก็สามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ได้เองอย่างง่ายดาย ร้านค้าสำเร็จรูปนี้ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเว็บไซต์ที่ประหยัดต้นทุน เจ้าของร้านค้าสามารถจัดการข้อมูลร้านค้าได้เองตลอดเวลา ราคาขึ้นอยู่กับความต้องการระบบที่เจ้าของร้านต้องการใช้งาน สามารถลดหรือเพิ่มระดับความสามารถของระบบได้ในแต่ละปี

4 ประโยชน์ การทำเว็บ E-commerce


 http://www.prosoftcreative.com/

     ความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาได้นำพาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาสู่ชีวิตผู้คนอยู่เสมอ แต่สิ่งที่โดดเด่นและจับต้องได้มากที่สุดคงเป็นเรื่องเทคโนโลยีต้องยอมรับว่าการถือกำเนิดของเทคโนโลยีใหม่ๆ มีส่วนช่วยผลักดันและอำนวยความสะดวกให้กับการดำเนินชีวิตประจำวันให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีซึ่งถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์อันทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกปัจจุบันนั่นก็คือ 'อินเทอร์เน็ต'หลายคนยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าการถือกำเนิดของโลกออนไลน์เสมือนจริงทำให้ชีวิตพวกเขาแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล

     โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการทำธุรกิจอินเทอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก และที่น่าจับตามองก็คงไม่พ้นการเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์               

      การสร้างเว็บไซต์เพื่อใช้เป็นสื่อในการขายสินค้าได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยแล้วความนิยมด้านเว็บไซต์ขายของเพิ่งจะเริ่มได้รับในระดับเริ่มต้นเท่านั้น อาจเป็นเพราะคนที่มีกำลังซื้ออย่างแท้จริงยังเข้าถึงสื่อประเภทนี้ไม่มากมายนัก บวกกับค่านิยมในอดีตที่มักซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบเห็นหน้ากันโดยตรงทำให้มีผลทางความเชื่อมั่นเมื่อต้องเปลี่ยนมาซื้อขายแบบไม่เห็นหน้าโดยผ่านจอคอมพิวเตอร์แทน แต่ในความเป็นจริงการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจค่อนข้างมากในปัจจุบัน โดยประโยชน์ของการสร้างเว็บไซต์เพื่อขายสินค้ามีดังต่อไปนี้

       1. ทำเว็บไซต์มีราคาประหยัด           
       ความประหยัดถือเป็นจุดเด่นที่สามารถจับต้องได้ชัดเจนมากที่สุดของการสร้างเว็บไซต์เพื่อขายสินค้า เพราะหากลองจับคู่เทียบความแตกต่างระหว่างการเปิดหน้าร้านขายสินค้ากับการใช้เว็บไซต์เพื่อขายสินค้าแล้ว ผู้ประกอบการก็จะสามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ว่าการขายสินค้าผ่านโลกออนไลน์จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก เพราะทำเว็บไซต์แทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เพียงแค่เสียค่าโดเมนและค่าทำเว็บไซต์เท่านั้น หรือหากเลือกใช้เว็บสำเร็จรูปก็ยิ่งสะดวกมากขึ้น เว็บไซต์จึงเป็นทางเลือกที่ดีมากในการออกสตาร์ตเริ่มทำธุรกิจ

       2. คนเข้าถึงเว็บไซต์ง่าย            
       การเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมทุกคนจากทุกมุมโลกให้ติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านทางเวิล์ดไวด์เว็บ การมีเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าจึงเป็นการเพิ่มช่องทางการติดต่อซื้อสินค้าให้มีมากขึ้นและยังเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าด้วย เพราะลูกค้าไม่จำเป็นต้องมาเลือกซื้อสินค้าถึงบริษัทหรือหน้าร้านด้วยตนเองซึ่งอาจเสียเวลาพอสมควรเพราะการจราจรที่ติดขัด อีกทั้งเรายังสามารถซื้อขายผ่านเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขจัดปัญหาข้อจำกัดทางด้านเวลาได้อีกด้วย

       3. ทำเว็บไซต์ไม่ต้องมีหน้าร้าน  
     การใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้ามีข้อได้เปรียบมากกว่าลงทุนเปิดร้านหรือโชว์รูมเป็นของตนเอง เพราะการมีหน้าร้านจะต้องเสียค่าเช่า ค่าตกแต่ง ค่าจ้างพนักงานและอื่นๆ อีกจิปาถะ รวมถึงต้องเหน็ดเหนื่อยดูแลเปิดปิดร้านซึ่งอาจไม่คุ้มค่ามากสักเท่าไรสำหรับธุรกิจซึ่งเพิ่งสร้าง เพราะอาจทำให้ระยะเวลาคืนทุนยืดออกไปอีก

       4. เว็บไซต์ทำให้การเสนอขายน่าสนใจกว่า
       สื่อออนไลน์บนโลกไซเบอร์ได้เปรียบเรื่องเทคโนโลยีและสีสัน ช่วยให้การเสนอขายสินค้าดูดีและดึงดูดได้มากกว่าวิธีปกติธรรมดาทั่วไป ผู้ประกอบการอาจใช้ลูกเล่นในการนำเสนอ อาจการตกแต่งภาพของสินค้าและองค์ประกอบในรูปให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น สร้างวิดีโอสาธิตวิธีใช้งานโดยผู้เชี่ยวชาญหรือดาราผู้มีชื่อเสียงก็น่าสนใจเพราะสามารถส่งผลทางจิตวิทยาต่อผู้รับชมได้ไม่น้อย จึงเป็นเทคนิคที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการขายสินค้าผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต    

       สำหรับประเทศไทย การขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีคู่แข่งขันไม่มากที่หันมาใช้กลยุทธ์วิธีนี้ ดังนั้นการขายสินค้าผ่านทางเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งน่าสนใจมากซึ่งผู้ประกอบการควรนำมาใช้ต่อยอดทางธุรกิจ อีกทั้งยังควรก้าวให้ทันเทคโนโลยีต่างๆ ด้วย อย่าลืมว่า “การทำอะไรก่อนผู้อื่นย่อมได้เปรียบเสมอ”


SEO คืออะไรและสำคัญอย่างไร

http://www.prosoftcreative.com/


   ในสมัยก่อนร้านค้าบริษัท หรือองค์กร มีเว็บไซต์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ของเว็บไซต์อย่างเต็มที่ทำให้ไม่เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนทำเว็บไซต์ แต่ในปัจจุบันนี้ทุกๆคนสามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้อย่างแพร่หลายทุกที่ทุกเวลา ทำให้ร้านค้าบริษัทหรือองค์กรต่างๆ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำเว็บไซต์เพื่อเปิดช่องทางทางการค้ามากขึ้น จึงทำให้ปัจจุบันมีเว็บไซต์เกิดขึ้นมากมาย การที่ทุกๆคนจะจดจำ URL (Uniform Resource Locator) ของแต่ละเว็บไซต์นั้นดูจะเป็นเรื่องที่ยากซะเหลือเกิน จึงจำเป็นต้องพึ่ง Search Engine เข้ามาช่วยในการสร้างความจดจำและง่ายต่อการเข้าถึงเว็บไซต์

     Search Engine คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต โดยผู้ใช้จะต้องกรอกคำสำคัญ (Keyword) ในการค้นหา จากนั้น Search Engine จะแสดงผลการค้นหาออกมาเป็นเว็บไซต์หลายๆ เว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Keyword นั้น นั่นก็หมายความว่าเว็บไซต์ที่แสดงผลในอันดับต้นๆ ของ Search Engine ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดทั่วโลกอย่าง Google ก็จะมีคนคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์นั้นเป็นจำนวนมาก เมื่อมีคนเข้าชมเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดประโยชน์ตามมามากมาย เช่น การขายสินค้าหรือบริการ การขายโฆษณา การโปรโมทเว็บไซต์ เป็นต้น ในทางกลับกันถ้าคุณมีเว็บไซต์ แต่เว็บไซต์ของคุณไม่ได้แสดงผลอยู่ใน Search Engine แล้วล่ะก็ เว็บไซต์ของคุณก็ไม่ต่างอะไรกับเว็บไซต์ร้างที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆเลย ด้วยเหตุผลนี้เอง เว็บไซต์ต่างๆ ย่อมต้องการให้เว็บไซต์ของตัวเองติดอยู่ในอันดับต้นๆของ Search Engine จึงเป็นที่มาของการทำ SEO นั่นเอง
 
       SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึง การจัดทำหรือปรับปรุงเว็บไซต์ให้แสดงผลเป็นอันดับต้นๆ ของการค้นหาใน Search Engine ใน Keyword ที่เหมาะสมและตรงตามวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ เพื่อให้อยู่ในระดับสายตาและสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว


ตัวอย่าง ผลการค้นหาจาก Google ด้วย Keyword คำว่า “ผ้าพันคอแฟชั่น”

     ในที่นี้คำว่า “ผ้าพันคอแฟชั่น” เป็น Keyword สำคัญในการค้นหาในครั้งนี้ เมื่อผู้ใช้งาน Google ค้นหาตาม Keyword หากเว็บไซต์ใดที่แสดงผลมาก่อนเป็นอันดับต้นๆ ของ Google ก็จะทำให้มีแนวโน้มที่ผู้ใช้งาน Google จะคลิกเข้าไปดูเว็บไซต์ของผู้ประกอบการนั้นๆมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อให้เกิดการขยายฐานตลาดสินค้าและบริการตามมา

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ทำไมต้องมี Graphic บนเว็บไซต์


     เว็บไซต์เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมากบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งเว็บไซต์เป็นสื่อที่อยู่ในความควบคุมของผู้ใช้โดยสมบูรณ์ กล่าวคือ ผู้ใช้สามารถตัดสินใจเลือกได้ว่าจะดูเว็บไซต์ใดและจะไม่เลือกดูเว็บไซต์ใดได้ตามต้องการ จึงทำให้ผู้ใช้ไม่มีความอดทนต่ออุปสรรคและปัญหาที่เกิดจากการออกแบบเว็บไซต์ผิดพลาดถ้าผู้ใช้เห็นว่าเว็บที่กำลังดูอยู่นั้นไม่มีประโยชน์ต่อตัวเขาหรือไม่เข้าใจว่าเว็บไซต์นี้จะใช้งานอย่างไร เขาก็สามารถที่จะเปลี่ยนไปดูเว็บไซต์อื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากในปัจจุบันมีเว็บไซต์อยู่มากมายและยังมีเว็บไซด์ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ทุกวัน ผู้ใช้จึงมีทางเลือกมากขึ้นและสามารถเปรียบเทียบคุณภาพของเว็บไซด์ต่างๆ ได้เอง

       เว็บไซต์เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมากบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งเว็บไซต์เป็นสื่อที่อยู่ในความควบคุมของผู้ใช้โดยสมบูรณ์ การออกแบบกราฟิกบนเว็บไซต์จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์เข้าใจเรื่องราวที่นำเสนอมากยิ่งขึ้น การออกแบบอย่างสวยงาม มีการใช้งานที่สะดวก ย่อมได้รับความสนใจจากผู้ใช้ มากกว่าเว็บไซต์ที่ดูสับสนวุ่นวาย มีข้อมูลมากมายแต่หาอะไรไม่เจอ หรือใช้เวลาในการแสดงผลแต่ละหน้านานเกินไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากการออกแบบเว็บไซด์ไม่ดีทั้งสิ้น

       ดังนั้นการออกแบบกราฟิกบนเว็บไซด์จึงเป็นกระบวนการสำคัญในการสร้างเว็บไซด์ ให้ประทับใจผู้ใช้ ทำให้เขาอยากกลับเข้ามาเว็บไซด์เดิมอีกในอนาคต ซึ่งนอกจากต้องพัฒนาเว็บไซด์ที่ดีมีประโยชน์แล้วยังต้องคำนึงถึงการแข่งขันกับเว็บไซด์อื่นๆ อีกด้วย

ตัวอย่าง การออกแบบ Graphic บนเว็บไซต์ที่ดี

 

สร้างเว็บไซต์และร้านค้าออนไลน์ ง่ายกว่าที่คิด


     เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคของโลกดิจิตอลและโลกออนไลน์ ผู้ประกอบการหลายๆ ท่านคงคิดว่า เว็บไซต์มีความจำเป็นในโลกธุรกิจอย่างมากมาย แต่ใครจะรู้ว่าการทำเว็บไซต์นั้นไม่ได้ยากอย่างที่หลายๆ ท่านคิด การสร้างเว็บไซต์จากเว็บสำเร็จรูป SoGoodWeb ผู้ประกอบการสามารถสร้างเว็บไซต์ได้ด้วยตนเองตามความต้องการเว็บไซต์ที่ตนเองชื่อชอบ วิธีการง่ายๆ ของการสร้างเว็บไซต์ SoGoodWeb มีดังนี้
  • สมัครสมาชิกเว็บไซต์ SoGoodWeb.com
  • เลือก Package เว็บไซต์สำเร็จรูปที่ต้องการ
  • ชำระค่าบริการ/ แจ้งการชำระเงินกับเจ้าหน้าที่
  • เปิดเว็บไซต์ของท่าน และ Domain Name ของเว็บไซต์
  • เลือกรูปแบบเว็บไซต์ (Template) ที่ต้องการ
  • จัดวางเมนู และรูปแบบของเว็บไซต์ตามประเภทธุรกิจของท่าน
  • เพิ่มข้อมูลสินค้า และองค์กร
       เพียง 7 ขั้นตอน ท่านก็สามารถมีเว็บไซต์ของตนเองได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว อีกทั้งทีมงาน SoGoodWeb ยังคอยบริการให้คำปรึกษาท่านตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแค่ท่านเลือกเว็บไซต์จาก SoGoodWeb วันนี้ทุกอย่างด็ง่ายอย่างที่ท่านคาดไม่ถึง 


Animation คุณก็ทำได้


     Animation หมายถึง การสร้างภาพเคลื่อนไหวโดยการนำภาพนิ่งหลายๆ ภาพที่มีความต่อเนื่องมาฉายด้วยความเร็วที่เหมาะสม ทำให้เกิดภาพลวงตาของการเคลื่อนไหวในลักษณะภาพติดตา (Persistence of Vision) เมื่อตามนุษย์มองเห็นภาพที่ฉายอย่างต่อเนื่อง เรตินาจะรักษาภาพนี้ไว้ในระยะสั้นๆ ประมาณ 1/3 วินาที หากมีภาพอื่นแทรกเข้ามาในระยะเวลาดังกล่าว สมองของมนุษย์จะเชื่อมโยงภาพทั้งสองเข้าด้วยกันทำให้เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว ที่มีความต่อเนื่องกัน การทำ Animation มีการใช้โปรแกรมที่หลากหลายในปัจจุบัน แต่โปรแกรมที่นิยมในการทำ 2D Animation คือโปรแกรม Flash สำหรับFlashนั้น จะมีการเคลื่อนที่อยู่ 2 ลักษณะคือ

1. การเคลื่อนย้ายแบบย้ายสถานที่ (Motion) เช่น วัตถุเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B
 
2.  การเคลื่อนที่โดยการเปลี่ยนแปลงลักษณะ (Transform)
ประเภทของภาพเคลื่อนไหว
     การเคลื่อนไหวชนิดภาพต่อภาพ (Frame By Frame Animation) เป็นการเคลื่อนไหวชนิด ภาพที่ 1 ไปภาพที่ 2 ไปภาพที่ 3 ไป ภาพสุดท้ายหรือเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวของการ์ตูนนั่นเอง


      การเปลี่ยนแปลงของภาพแต่ละภาพที่เรียงอย่างต่อเนื่องในลักษณะนี้ เหมาะสำหรับการทำ Animation ที่ซับซ้อน เช่น Animation ที่มีการเคลื่อนไหวลักษณะท่าทางมาก เป็นต้น ซึ่งจะใช้ภาพจำนวนมาก โดยที่แต่ละ Frame จะใส่ภาพในลักษณะท่าทางต่างๆ 1 ภาพ ทำให้เสียเวลาแต่จะทำให้ภาพมีการเคลื่อนไหวที่เหมือนจริง การเคลื่อนไหวชนิดกำหนดจุดเริ่มต้นและ
จุดสิ้นสุด (Tweened Animation)
       การเคลื่อนไหวของ Animation ลักษณะนี้จะมีการกำหนดจุดเริ่มต้นในการแสดงภาพเคลื่อนไหว และใช้วิธีการคำนวณของ Flash ในการแสดงภาพต่างๆ โดยที่เราไม่ต้องไปหาภาพมาเรียงต่อกันเราสามารถแบ่งลักษณะการเคลื่อนไหวออกเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ  

  • เปลี่ยนแปลงสถานที่ (Motion Tween) 
    เป็นการเคลื่อนไหวที่มีการย้ายสถานที่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัตถุ แต่สามารถเปลี่ยนสีหรือขนาดได้ คือ การเปลี่ยนแปลงจากจุด A ไป จุด B นั่นเอง โดยที่ระหว่างการเคลื่อนที่จาก A ไป B สามารถมีการเปลี่ยนแปลงขนาด เปลี่ยนสี หรือค่อยๆ จางหายไป แต่ไม่สามารถเปลี่ยนจากรูปหนึ่งไปยังอีกรูปหนึ่งได้ การทำ Animation ลักษณะนี้ Flash Movie จะมีขนาดเล็กกว่าการเคลื่อนไหวชนิดภาพต่อภาพ เพราะใช้การคำนวณการเคลื่อนไหวแทนการใช้ภาพจริงหลายๆ มาแสดงต่อกัน
  • เปลี่ยนแปลงลักษณะเดิม (Shape Tween) 
    เป็นการเคลื่อนไหวโดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง หรือเปลี่ยนจากวัตถุหนึ่งไปเป็นอีกวัตถุหนึ่ง

ร้านค้าออนไลน์ สร้างยอดขายได้อย่างไร


     ผู้ประกอบการและลูกค้าหลายๆ ท่านรู้อยู่แล้วว่า ร้านค้าออนไลน์ช่วยสร้างยอดขายให้กับกิจการ แต่ไม่รู้ว่าสร้างยอดขายอย่างไร สร้างโดยวิธีไหน วันนี้เรามาดูกันว่าทำไมร้านค้าออนไลน์ถึงมีบทบาทกับธุรกิจมากยิ่งขึ้น
  • ร้านค้าออนไลน์เป็นสื่อกลางในการนำเสนอสินค้าได้อย่างไร้พรมแดน
  • ร้านค้าออนไลน์เปิดโอกาสในผู้ซื้อ เข้าถึงสินค้าได้ตลอดเวลาและสามารถซื้อขายสินค้าได้แบบ real timeไม่จำกัดช่วงเวลา
  • ร้านค้าออนไลน์ให้ลูกค้าได้เปรียบเทียบสินค้า และเลือกสินค้าด้วยตัวเอง
  • ร้านค้าออนไลน์เชื่อมต่อกับระบบ Social Network ทำให้เกิดการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับข่าวสารของกิจการ สินค้าต่างๆ ที่มีได้อย่างรวดเร็ว และแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด    
  • ร้านค้าออนไลน์เป็นแหลงให้ความรู้แก่ลูกค้า เพื่อประกอบการตัดสินใจทำให้ร้านนั้นๆ ได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า และส่งผลให้มียอดขายมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับ     
  • ร้านค้าออนไลน์โลดเล่นอยู่บน Search Engine ที่เราเรียกว่า Google ซึ่งเป็นระบบค้นหาที่ใหญ่และกว้างขวางที่สุดในโลก
  • ร้านค้าออนไลน์สามารถวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าของธุรกิจจากการเข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นตามมา
  • ร้านค้าออนไลน์เป็นการสร้างแบรนด์ ให้ลูกค้าได้รู้จักสินค้าและบริการของเรามากขึ้น
  • เว็บไซต์เป็นสื่อที่นำเสนอรายละเอียดเชิงลึกของสินค้าและบริการ ผ่าน Media ต่างๆ ทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงกระบวนการการทำงาน การผลิต และการบริการขององค์กรมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น Video Presentation เป็นต้
  • ร้านค้าออนไลน์ สามารถจัดการการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มทางเลือกการซื้อสินค้าให้ลูกค้าสามารถจับจ่าย สินค้าได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ทำให้เกิดยอดขายขึ้นตลอดเวลา        

การค้าขายออนไลน์ของเมืองไทย



     ปี 2011 เป็นปีที่การค้าขายออนไลน์ของเมืองไทย กำลังจะเริ่มต้นทะยานขึ้นอย่างมากโดยจะเห็นได้ว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาทำให้วงการอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยพฤติกรรมของคนออนไลน์เปลี่ยนไป กล้าซื้อของออนไลน์เพิ่มมากขึ้น รวมถึงสินค้าและบริการต่างๆ ของธุรกิจ เริ่มเดินหน้าเข้าสู่ตลาดการค้าออนไลน์ ระบบชำระเงินออนไลน์ของไทยที่พัฒนาความสามารถมากขึ้น โดยคนสามารถซื้อของและจ่ายเงินออนไลน์ได้ง่ายๆ เพียงแค่กดไม่กี่ทีก็จ่ายเงินได้แล้ว ดังนั้นเรามาดูกันว่าแนวโน้มของปี 2011 จะมีอะไรน่าสนใจที่คุณสามารถเติบโตไปกับช่องทางนี้ได้

แนวโน้มการค้าออนไลน์ปี 2011
     จากตัวเลขผลสำรวจของเนคเทค ปี 2010 พบคนไทยนิยมช้อปออนไลน์ 57.2% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมาก ทำให้เห็นว่าตอนนี้ คนไทยกล้าซื้อของออนไลน์มากขึ้นและจำนวนผู้ประกอบการและธุรกิจก็เริ่มมีการนำสินค้าใหม่ๆ เข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ซึ่งในปี 2011 จะมีปัจจัยอะไรที่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้การค้าบนโลกออนไลน์ของไทยเติบโตมากยิ่งขึ้น

1. ระบบชำระเงินออนไลน์ที่พัฒนามากขึ้น

  ระบบการชำระเงินออนไลน์ที่มีอยู่ในไทยตอนนี้มีมากหลายรูปแบบ เช่น ผ่านบัตรเครดิต ตอนนี้ก็มีหลายธนาคารรองรับ,ชำระผ่านระบบอีแบงกิ้งที่เกือบทุกธนาคารมี,ตัวกลางกลางชำระเงินอย่าง Paysbuy,PayPal และ TARADpay หรือชำระเงินผ่านมือถืออย่าง mPay,True Money จะได้ว่าตอนนี้เอง เมืองไทยมีความพร้อมการชำระเงินออนไลน์อย่างมาก จะทำให้การค้าขายผ่านออนไลน์เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นสำหรับธุรกิจที่อยากเข้ามาเปิดตลาดใหม่

2. เว็บไซต์จะสามารถสร้างได้ง่ายมากๆ
   ตอนนี้ธุรกิจผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปเริ่มมีมากมายทั้งรายเล็กรายใหญ่ รวมถึงระบบซอฟต์แวร์ที่เป็นลักษณะระบบเปิด (OpenSource)ที่มีเปิดให้ดาวน์โหลดกันมากมาย ทำให้การสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ เพียงไม่กี่คลิกก็สามารถมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้แล้ว ดังนั้นแนวโน้มปีนี้จะเห็นความหลากหลายของผู้ให้บริการเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นจนเกิดการแข่งขันทางด้านราคา นี่คือโอกาสดีของผู้ประกอบการที่อยากจะมีเว็บไซต์ของตนเองหรือมีธุรกิจบนโลกออนไลน์จะสามารถทำและสร้างเว็บตัวเองได้ง่ายมากขึ้น

3. โปรโมชั่นสินค้าลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลในโลกออนไลน์
   เมื่อก่อนร้านค้าออนไลน์และเว็บไซต์ขายของต่างๆ ในเมืองไทย ต่างขายของกันโดยไม่มีการลดราคาสินค้า แต่พบว่ายอดขายไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่หลังจากที่ TARAD.comร่วมมือกับทางญี่ปุ่นมีการนำเทคนิคการค้าออนไลน์ รวมถึงโปรโมชั่นแคมเปญลดราคาต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการค้าออนไลน์อย่างมาก โดยหลายๆ เว็บไซต์ที่ค้าขายออนไลน์ต่าง เริ่มจัดแคมเปญลดราคา เพื่อกระตุ้นยอดขายตามซึ่งทำให้เกิดยอดขายและผู้ซื้อเริ่มสนุกที่จะซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้นจากเมื่อก่อน

4. ร่วมกันซื้อแล้วลด (Group Buying) การค้าผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ
     การเข้ามาของโมเดล"ร่วมกันซื้อ"แบบเดียวกับ Groupon ทำให้เกิดนำส่วนลดราคาบริการต่างๆ ออกมาขายกันอย่างมากซึ่งเว็บ"ร่วมกันซื้อ"จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้คนกล้าซื้อสินค้าผ่านเว็บเหล่านั้น เพราะด้วยการลดราคาเป็นจำนวนมากและต้องซื้อร่วมกันหลายๆ คน ทำให้เกิดการบอกต่อผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คไปอย่างรวดเร็ว เว็บรูปแบบนี้ในไทยเริ่มต้นจากผู้ให้บริการอย่าง Ensogo และตามมาด้วย Dealdidi และเจ้าอื่นๆ อีกมากมายมากกว่า 20 เว็บไซต์แล้วในตอนนี้ ยิ่งเกิดเว็บอย่างนี้มากเท่าไรก็จะยิ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นคนให้ซื้อออนไลน์มากขึ้นตาม

5. การเข้าสู่โลกออนไลน์ของห้างออฟไลน์
     ปลายปีทีแล้วเป็นช่วงที่บรรดาห้างใหญ่หลายๆ แห่งต่างเริ่มยกพาเหรดเข้ามาเปิดธุรกิจในโลกออนไลน์อย่างเช่นยักษ์ใหญ่อย่างเซนทรัลและเดอะมอลล์ต่างก็เริ่มเข้ามาสร้างห้างออนไลน์กันแล้ว นอกจากนี้บรรดาห้างไฮเปอร์มาร์ทอย่าง ท็อปส์ หรือ บิ๊กซี ก็เริ่มเปิดให้คนเข้ามาช้อปและจับจ่ายทางออนไลน์ได้แล้วเช่นกัน

       ประเด็นสำคัญๆ ของแนวโน้นการค้าขายออนไลน์ของไทยปีนี้ เห็นได้ชัดเลยครับว่า ปี 2011 นี้จะเป็นปีที่ประเทศไทยมีความพร้อมกับการค้าขายออนไลน์อย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ ดังนั้นหากคนที่มีธุรกิจและยังไม่ได้เข้ามาสู่การค้าขายออนไลน์ ปีนี้ดูจะเป็นที่เหมาะสมและควรนำธุรกิจคุณเข้าสู่โลกออกไลน์ได้แล้วครับ เพราะองค์ประกอบทุกอย่างพร้อมมาก หากคุณยิ่งช้าไป โอกาสการแข่งขันของธุรกิจคุณในโลกออนไลน์จะยิ่งต่ำลงเพราะในธุรกิจการค้าในโลกออนไลน์ไม่ได้มีแค่คู่แข่งในประเทศเท่านั้น คุณกำลังอาจจะต้องเจอกับคู่แข่งต่างประเทศที่เริ่มยกพลมาขายในเมืองไทยผ่านเว็บไซต์กันมากขึ้น ดังนั้นลงมือเริ่มตั้งแต่วันนี้คือคำแนะนำที่คุณควรทำ

ร้านค้าออนไลน์เหมาะกับใคร



     ร้านค้าออนไลน์คือการเปิดกิจการเพื่อขายของผ่านระบบอินเทอร์เน็ต  เป็นธุรกิจในยุคใหม่ที่อาศัยความนิยมในการใช้งานผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ประกอบกับความสะดวกสบายด้านการชำระเงินในปัจจุบัน มาพลิกโฉมการให้บริการสินค้าและบริการของตนเองให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น โดยการนำเอาร้านค้าออนไลน์มาใช้เป็นส่วนกระจายสินค้า และขยายฐานการตลาดสู่โลกที่ไร้พรมแดน

คุณมีคุณสมบัติตามนี้หรือไม่?

       1. ต้องการให้ร้านค้าหรือสถานประกอบการเป็นที่รู้จักในระยะเวลาอันรวดเร็ว

       2. ต้องการเพิ่มยอดขายแบบไม่จำกัด

       3. ต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่นำมาสู่การต่อยอด

       4. ต้องการทราบถึงกลุ่มลูกค้าหลักของตนเองและกลุ่มลูกค้ารองที่ตรงจุด เพื่อการสรรหาสินค้าและบริการให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า

       5. ต้องการเพิ่มรายได้ที่มากขึ้น แต่ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการตลาด

       6. ต้องการนำเสนอขอมูล ข่าวสารของบริษัทต่อลูกค้าอยู่เสมอ

       7. ต้องการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีทั้งหมดอย่างไม่จำกัด

       8. ต้องการประเมินความพึงพอใจจากลูกค้าแบบ Real Time
 
       9. ต้องการรายได้จากการขายสินค้าตลอด 24 ชั่วโมง

       10. อยากเปิดร้านค้าออนไลน์ ขายของใน internet แต่ยังไม่มี website

       11. อยากมี website ใช้งาน แต่ไม่รู้จะเลือกผู้ให้บริการเจ้าไหนดี

       12. มี website แล้ว แต่คนทั่วไปไม่รู้จักเพราะไม่มีระบบโปรโมทโฆษณา website

       13. กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา website กลัวไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องจ่าย

       14. ต้องการโฆษณาสินค้า หรือบริการของท่าน

       15. ทำงานขายตรง หรืองานเครือข่ายต้องการขยายสายงานเพิ่มขึ้น

       16. ต้องการทำงานประจำสามารถเลี้ยงครอบครัวได้  ที่ให้ความเป็นอิสระ  รายได้สูง  ชอบการนำเสนอ  

       17. อยากหารายได้เพิ่มเติม จากเวลาว่าง หลังเลิกงาน หรือหลังเลิกเรียน
            
ถ้าคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้ ร้านค้าออนไลน์ที่เรากล่าวถึง เหมาะกับผู้ปะกอบการเช่น “คุณ” แน่นอน

ทำการตลาดแบบออนไลน์ทั้งง่ายและได้ผล


     การทำธุรกิจในปัจจุบันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทำการประชาสัมพันธ์ร้านค้าหรือสินค้าของเราเลย หากรอให้มีลูกค้าเดินเข้ามาพบร้านของเราเองก็คงเป็นไปได้น้อยมาก เมื่อลูกค้ามีความต้องการสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือค้นหาผ่านทางอินเทอร์เน็ต เพื่อหาร้านค้าที่น่าสนใจในราคาที่พึงพอใจ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อในกรณีการเปิดร้านค้าออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ทำการตลาดเลยร้านค้าคงไม่เป็นที่รู้จัก การตลาดแบบออนไลน์หรือ Digital Marketing จึงเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ธุรกิจได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ซึ่งมีหลากหลายวิธีที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้

 1. Social Network สังคมออนไลน์อย่าง facebook, twitter ไม่มีใครไม่รู้จักในเวลานี้ นับว่าเป็นช่องทางทำการตลาดออนไลน์ที่กว้างขวางและประหยัดที่สุด ทั้งยังเข้าถึงเครือข่ายคนรุ่นใหม่ในยุคออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว แถมวัดผลได้รวดเร็วทันใจอีกด้วย

 2. Google Adwords
 เวลาที่คน search หาสินค้าหรือบริการที่ต้องการใน google หากพบผลการค้นหาตรงกับสิ่งที่ต้องการ ก็จะคลิกเข้าไปดูรายละเอียด โอกาสที่จะซื้อสินค้าก็เป็นไปไม่ยาก ดังนั้นจึงนิยมใช้บริการ Google Adwords กันมาก เพราะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ของตน

 3. EDM หรือ Electronic Direct Mail หรือที่เรียกกันอย่างง่าย ๆ ว่า E-Newsletter การส่งอีเมล์เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า โปรโมชั่น หรือกิจกรรม ข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆ ไปยังผู้รับ ซึ่งได้ลงทะเบียนรับข่าวสารไว้กับทางเว็บไซต์เป็นการประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรงด้วยฐานข้อมูลสมาชิกที่สนใจในบริการนั้นๆ อยู่แล้ว
       
 4. SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการค้นหาด้วยการใช้ keyword เมื่อติดอันดับต้นๆ แล้ว คนก็จะคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์มากขึ้น โอกาสที่เว็บไซต์จะเป็นที่รู้จักก็มีมากขึ้นจามไปด้วย อย่างเช่นเว็บไซต์ ShoppingServiceShop.com ที่วางโครงสร้าง SEO รองรับผู้ประกอบการไว้เป็นที่เรียบร้อยใครที่เปิดร้านค้าออนไลน์กับเว็บไซต์นี้ เมื่อลูกค้าค้นหาชื่อสินค้าที่เป็นkeywordร้านค้าใน ShoppingServiceShop.com ก็จะติดในอันดับต้นๆ

 5. Affiliate Marketing เป็นการทำการตลาดออนไลน์ผ่านตัวแทนโฆษณาที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เมื่อตัวแทนสามารถทำให้คนเข้าเว็บไซต์เรา และสมัครสมาชิกหรือซื้อสินค้า หรือเงื่อนไขอื่นๆ ตามที่ตกลงกันไว้ก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่น นับเป็นการลงทุนที่สมเหตุสมผล เพราะหากไม่มีคนเข้ามาก็ไม่ต้องเสียอะไร แต่หากมีคนเข้ามาย่อมได้ประโยชน์เกินกว่าค่าคอมมิชชั่นที่จ่ายให้ตัวแทนอยู่แล้ว

 6. Text-Link Ads การใช้ข้อความเป็นตัวโฆษณาเพื่อเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของเรา โดยอาจแฝงไปกับในเนื้อหาเรื่องราวบันเทิง หรือเกร็ดความรู้ต่างๆ เป็นการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก แต่ให้ผลตอบรับที่ดี ถ้าวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม

 7. Contextual Targeting เป็นการโฆษณาตามกลุ่มเป้าหมายของสินค้านั้นๆ เพื่อให้ได้ผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมายโดยตรง เช่น โฆษณาเครื่องสำอางในเว็บไซต์สำหรับผู้หญิง ทั้งนี้อาจทำโดยการสร้างโฆษณาที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องตรงความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย

    เราสามารถเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์หลายๆ วิธีพร้อมกัน เพื่อให้ได้ผลตอบรับจากหลากหลายช่องทางเป็นตัวช่วยทำให้อัตราการเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น และที่สำคัญต้องทำให้ในเว็บไซต์มีความน่าสนใจด้วย เพราะคงเปล่าประโยชน์หากมีคนเข้าเว็บไซต์มาแล้ว แต่ไม่พบอะไรที่น่าสนใจในเว็บไซต์เลย

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

Keyword

Keyword คืออะไรและวิธีการหา Keyword

      ก่อนอื่นขอพูดถึงคำว่า Keyword ก่อนครับว่า Keyword คืออะไร Keyword หรือ “คีย์เวิร์ด” คือคำที่เราจะเน้นเป็นพิเศษเพื่อให้ติดอันดับที่ดีกับ Search Engine เช่น (Google,Yahoo,Bing เป็นต้น) โดยสิ่งสำคัญคือเราต้องหา Keyword ที่ดีนั่นเอง Keyword ที่ดีคือ Keyword ที่มีการค้นหา (Search) มากหรือมีคนแข่งขันน้อยและปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือก Keyword ที่เหมาะสมได้อย่างไรควรพิจารณาด้วยตัวท่านเองเรามาเริ่มหา Keyword กันเลยครับ
       

     ผมจะยกตัวอย่างวิธีการหา Keyword โดยอาศัยดูจากคู่แข่งหรือเว็บไซต์มีอันดับที่ดีก่อนอื่นเราต้องทราบว่าเว็บไซต์ของเรานั้นมีลักษณะแบบใดเช่น เว็บไซต์ขายสินค้าหรือตัวอย่างที่ผมจะยกมาแสดงคือคำว่า “โปรแกรมบัญชี”ผมนำคำว่า “โปรแกรมบัญชี” มาค้นหาที่ Google ผลลัพธ์คือ


     จะพบ Keyword ที่เราค้นหา (Keyword สามารถสลับกันจาก“บัญชีโปรแกรม”เป็น“โปรแกรมบัญชี” ได้) และ Keyword อื่นๆ ของเว็บไซต์นั้นๆ เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเว็บไซต์ของเราได้ ที่สำคัญอย่าลืมดูที่ช่องการแข่งขันและการค้นหาท้องถิ่น


      ในช่องการแข่งขั้นถ้ายิ่งต่ำยิ่งดี ส่วนของการค้นหารายเดือนทั่วโลกและท้องถิ่นหมายถึงจำนวนคนที่ใช้ Keyword นั้นๆ ค้นหายิ่งมากยิ่งดีจากภาพที่เห็นเป็นจำนวน 49,500 ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเลยทีเดียวหลังจากที่เราจะได้ Keyword มากมายก็ให้ลองมองหา Keyword ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณอาจจะนำ Keyword มาประกอบเข้าด้วยกัน 



เช่นผมเพิ่มคำว่า “สำเร็จรูป” และนำไปค้นหาผลลัพธ์คือ


     จะเห็นได้ว่าเป็น Keyword ที่เราต้องการเพราะจะได้ทั้งคำว่า “โปรแกรมบัญชี” และคำว่า “โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป” ทั้งสองสามารถรวมด้วยกันได้และมีผลการค้นหาที่มากพอสมควรถึงจะการแข่งขันสูงแต่ถ้าจำนวนคนที่ได้มากมันก็คุ้มค่ากับการเสี่ยง จากที่กล่าวเป็นทั้งหมดเป็นแค่ส่วนหนึ่งเล็กๆ ของการค้นหา Keyword เท่านั้นเองเพื่อที่จะเป็นแนวทางในการทำ SEO หรือหา Keyword ต่อๆ ไป ประสบการณ์จะบอกคุณว่าที่คุณทำถูกต้องหรือไม่

ขายของออนไลน์อย่างไร ให้มีประสิทธิภาพ

     selling-products-onlineมีหลายคนมักจะถามผมเข้ามาเกี่ยวกับการขายสินค้าบน Facebook ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งการตอบสั้นๆ แต่ละครั้งอาจไม่เคลียร์สำหรับหลายคน ผมจึงได้เรียบเรียงคำตอบมาใหม่ และนำมาใส่ไว้ในบทความซะเลย เผื่อจะได้เป็นแนวทางสำหรับคนที่ต้องการจะขายสินค้าออนไลน์ต่อไป

     คุณอาจมองเห็นว่ามีหลายๆ ธุรกิจ สามารถขายสินค้าบน Facebook ได้ แต่เชื่อมั้ย ถ้ามองให้ลึกจริงๆ คุณจะเห็นเบื้องหลังที่ไม่ใช่การขายของบน Facebook สิ่งที่คุณเห็นเป็นเพียงการตลาดของเขาเท่านั้น คุณมองเห็น เพราะเขาทำการตลาดได้ดี คุณจึงคิดว่าเขาขายสินค้าบน Facebook

     ลองสังเกตให้ดีถึงแม้คุณจะเข้าไปร่วมกิจกรรมบน Fan Page ของสินค้าที่คุณชอบ แต่เมื่อคุณพอใจจะซื้อสินค้าของเขา คุณจะเข้าไปซื้อที่ไหน?เข้าไปที่เว็บไซต์ของเขาใช่หรือไม่ครับ?นั่นคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการเตรียมการ เพื่อขายสินค้าออนไลน์ ต้องเริ่มที่ Website ไม่ใช่ไปเริ่มที่ Facebook นะครับ เพราะการเตรียมการมันอยู่ที่เว็บไซต์ของคุณต่างหาก Website คือหน้าร้าน เป็นร้านค้าของคุณ ส่วน Facebook คือทำเลสำหรับการเชื้อเชิญลูกค้าเท่านั้น แต่บางคนอาจใช้ Facebook เป็นหน้าร้านค้าไปเลยก็มีไม่ได้ทำเว็บไซต์ขึ้นมา นั่นก็พอจะทำได้อยู่เหมือนกันเพียงแต่มันอาจจะดูหลักลอยไปซักหน่อยครับ

     สิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้ไม่ได้เป็นเรื่องยากเลยสำหรับนักการตลาดอินเตอร์เน็ต เพราะผมไม่ได้แนะนำให้คุณไปนั่งปั่น Traffic หรือไปสร้าง Backlink หรือไปทำ SEO ขั้นเทพอะไรทั้งนั้นแค่ความรู้พื้นๆ คุณก็ทำได้แล้ว


มาดูกันทีละข้อกันดีกว่าว่าคุณต้องมีอะไร ทำอะไร และทำอย่างไร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำการตลาดบนอินเตอร์เน็ต
  • เลือกขายสินค้าที่ผู้คนต้องการ หากสินค้าที่คุณอยากจะขายมีคุณภาพดีเยี่ยมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนบนโลกใบนี้ แต่สินค้านั้นแทบจะไม่เป็นที่ต้องการของใครเลย คุณจะขายสินค้านั้นได้อย่างไรจริงมั้ย? เพราะฉะนั้น "จงขายสิ่งที่ผู้คนต้องการซื้อ ไม่ใช่ขายสิ่งที่คุณต้องการขาย"คุณต้องค้นให้เจอว่าผู้คนต้องการอะไร เมื่อรู้ความต้องการ ก็เท่ากับรู้ทิศทางของธุรกิจแล้วในระดับนึง 
  • ทำเว็บไซต์ สร้างหน้าเว็บเพจ บอกรายละเอียดสินค้าให้ชัดเจน นำรายละเอียดสินค้าที่ได้เลือกแล้วจากข้อ 1 มาใส่ในเว็บเพจให้เรียบร้อย บอกรายละเอียดให้ชัดเจนแนะนำว่าควรจะมีรูปภาพสินค้าเพื่อให้ดูน่าสนใจมากขึ้น หรือถ้ามีวีดีโอแนะนำสินค้าด้วยก็จะดีมาก และสุดท้ายควรจะมีปุ่มสั่งซื้อสินค้า หรือรายละเอียดการสั่งซื้อให้เห็นชัดเจน หากลูกค้าต้องการจะสั่งซื้อเดี๋ยวนั้นจะได้บริการลูกค้าได้ทันใจมาถึงตรงนี้คุณอาจจะคิดว่าก็ทำเว็บไม่เป็นอ่ะ มันยากไปป่าว?...สำหรับเรื่องนี้หายห่วงได้เลยครับเพราะมีผู้ให้บริการเว็บไซต์หลายแห่งที่รู้ปัญหาข้อนี้ดี และทำเรื่องยากๆ เหล่านี้ให้เป็นเรื่องง่ายเรียบร้อยแล้วล่ะครับ อย่างเช่นที่ โฮสติ้ง 1and1ก็จะมี Package เว็บไซต์สำเร็จรูปให้ ชื่อว่า "1&1 My Website"ซึ่งคุณแทบไม่ต้องมีความรู้ในการทำเว็บเลย คุณก็สร้างหน้าเว็บเพจได้...หรือคุณอาจใช้พวกโปรแกรม Opensource อย่าง Joomla หรือ WordPress ก็ได้ครับ ติดตั้งง่ายใช้งานได้ทันที คุณอาจใช้เว็บไซต์ในการสร้างแอพ (Application) บน Facebookได้อีกด้วย อันนี้ก็ต้องให้โปรแกรมเมอร์ หรือนักพัฒนาแอพ มาช่วยทำให้ล่ะครับ แอพเจ๋งๆ ส่วนใหญมักสร้างบนเว็บไซต์ของตัวเองครับ ไม่ใช่สร้างบน Facebookเพราะต้องมีการเก็บค่าต่างๆ ลงฐานข้อมูลของเว็บ ถึงแม้ว่าจะมีบางแอพที่เจ๋งขนาดว่าคุณสามารถติดตั้งร้านค้า e-Commerce บน Facebook ได้โดยไม่ต้องมีเว็บเลยก็ตามแต่แอพเหล่านั้นก็ถูกสร้างบนเว็บไซต์ของเจ้าของแอพเองอยู่ดี ลองสังเกตดูนะครับ ยังไงซะก็ขาดเว็บไซต์ไม่ได้
  • เขียนเนื้อหาในบล็อกให้โดนใจผู้ชม คุณควรจะมีบล็อกโดยคุณอาจสร้างบล็อกบทความให้อยู่ภายในเว็บไซต์จากข้อ 2 ก็ได้ หรือจะแยกกันต่างหากก็ได้ ไม่ซีเรียส แต่สิ่งที่ซีเรียสคือคุณควรอัพเดทบทความอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผู้ชมจะได้อ่านเนื้อหาที่สดใหม่อยู่ตลอดเวลา ผู้ที่เคยเข้ามาแล้วก็อยากจะเข้ามาอีก นี่คือข้อที่สำคัญมากๆ สำหรับการทำการตลาดผ่านเว็บไซต์ (Content is KING) เขียนให้โดนใจ ถ้าเนื้อหาในบล็อกถูกใจผู้เยี่ยมชม นอกจากพวกเขาจะเต็มใจเข้ามาอ่านแล้วก็ยังอาจบอกต่อเพื่อนของเขาต่อๆ ไปไม่รู้จบ...แน่นอนว่าคุณควรเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับสินค้าในข้อ 2 ด้วย แต่ไม่ใช่การ Copy เอารายละเอียดสินค้า (จากข้อ 2) มาโพสซ้ำอีกรอบนะครับ มันน่าเกลียด เพราะหน้าเพจรายละเอียดสินค้ากับการเขียนบทความมันทำหน้าที่ต่างกัน ก่อนอื่นเลยคุณต้องเข้าใจก่อนว่าเสริชเอนจิ้น (Search Engine) อย่าง Google,Yahoo,หรือ Bing นั้น ชอบบทความในบล็อก เนื้อหาที่อยู่ในบล็อกจะติดเสริชเอนจิ้นได้ง่ายกว่าหน้าเพจนิ่งๆ ที่บอกแต่รายละเอียดสินค้า คุณอาจเขียนบทความเพื่อให้ความกระจ่าง ให้ความรู้ ให้ทัศนะ ให้มุมมอง หรือบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ มีการแสดงความคิดเห็น พูดคุยกับผู้เยี่ยมชมบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Search Engine ชอบมาก บทความของคุณก็จะมีโอกาสติดหน้าแรกๆ ของผลการค้นหาบน Search Engine  ผลที่ได้คือ หากมีใครใช้ Search Engine ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่คุณกำลังขายอยู่พอดีก็อาจจะเจอกับบทความในบล็อกของคุณก่อน เมื่อเขาได้อ่านแล้วเกิดความประทับใจ อยากเห็นสินค้าเขาก็จะคลิกลิ้งก์เข้าไปยังหน้าเว็บเพจรายละเอียดสินค้า ที่คุณได้ทำเตรียมไว้แล้วในข้อ 2 และหากเขาตัดสินใจสั่งซื้อ คุณก็ได้เตรียมขั้นตอนบอกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว สั่งซื้อได้ทันที
    นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมบล็อกจึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ต ก็เพราะมันเป็นการส่ง Content ใน Blog ให้ไปติดหน้าแรกๆ ของผลการค้นหาบน Search Engine เพื่อไปเจอกับผู้ค้นหาพอดิบพอดี วิธีการแบบนี้ จึงจะทำให้มีโอกาสขายสินค้าได้ง่ายขึ้นครับ

  • ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ผู้ชมใช้งานง่าย ในเว็บไซต์ของคุณควรจะมีระบบนำทาง (Navigation) ที่ดี เพื่อให้ค้นหาสิ่งที่ต้องการภายในเว็บไซต์ได้ง่าย โดยอาจจะสมมุติตัวคุณเองเป็นผู้ชมและลองเข้ามาอ่านเพื่อทดสอบเองก่อน ลองสังเกตง่ายๆ ว่าถ้าคุณอ่านเว็บไซต์ที่ใช้งานยาก หาสิ่งที่ต้องการไม่ค่อยเจอครั้งต่อไปคุณก็ไม่อยากเข้าไปอ่านอีก ผู้อื่นก็คิดไม่ต่างจากคุณแหละครับ หากคุณมีสินค้าหลายหมวดหมู่ หลายชิ้น คุณสามารถจัดหมวดหมู่สินค้าอย่างเป็นระบบระเบียบได้ภายในเว็บไซต์ หรือแม้แต่การจัดหมวดหมู่บทความในบล็อก ก็ทำได้ง่ายกว่าบน Facebook ทำให้ผู้เยี่ยมชมสะดวกในการค้นหา

  • เก็บข้อมูล สมาชิก/ลูกค้า นี่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำเงินให้กับคุณได้อย่างต่อเนื่อง ที่นักการตลาดหลายคนอาจจะมองข้ามข้อนี้ไป คุณอาจจะทำแบบฟอร์มเล็กๆ ให้สมัครสมาชิกเว็บไซต์ เพื่อรับข่าวสารอัพเดทหรือแบบฟอร์มลงทะเบียน เพื่อรับข้อเสนอพิเศษอะไรก็ว่ากันไป แบบฟอร์มนี้เรียกว่า Opt-In Form ครับ มีไว้เพื่อใช้ทำ Email Marketing ต่อไป 
  • สื่อสารกับ สมาชิก/ลูกค้า อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีรายชื่อ สมาชิก/ลูกค้า ที่ได้จากข้อ 5 แล้ว ก็อย่าลืมดูแลพวกเขาด้วยล่ะครับ การแจ้งข่าวสารหรือพูดคุยอย่างต่อเนื่องเป็นการสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างคุณกับ สมาชิก/ลูกค้า และการสื่อสารกันนั้น ก็อย่าพยายามยัดเยียดให้เขาซื้อสินค้า โดยไม่ได้ดูเลยว่าเขาอยากจะได้สินค้านั้นหรือเปล่า อย่าลืมหลักการในข้อ 1 (ขายสิ่งที่ผู้คนต้องการ) คุณควรจะแยกกลุ่มผู้สนใจให้ชัดเจนว่าแต่ละคนเขาสนใจอะไรกันแน่ คุณอาจทำแบบฟอร์ม Opt-In มากกว่า 1 ฟอร์ม เพื่อแยกความสนใจของลูกค้าแต่ละราย แล้วจึงค่อยนำเสนอสินค้าให้ตรงกับความสนใจของเขา ลูกค้าจึงจะประทับใจ ถ้าลูกค้ารู้สึกพอใจจะนำเสนออะไรมันก็ง่าย จริงมั้ยครับ?

  • หาทำเลดีๆ เพื่อโปรโมท socialmediaในบทความนี้ผมกำลังพูดถึง การทำการตลาดออนไลน์อยู่และในยุคนี้ ถ้าพูดถึงทำเลบนอินเตอร์เน็ตแล้ว Social Media อย่าง Facebook, Twitter,YouTube (ยกตัวอย่างแค่ 3 เว็บเท่านั้นยังมีเว็บอื่นๆ อีกมาก) นับเป็นทำเลทองออนไลน์ที่ผู้คนพลุกพล่านมาก คุณจะต้องเชื่อมโยงเว็บไซต์หรือบล็อกของคุณเข้ากับ Social Media เหล่านี้ ด้วยการนำ VDO ปุ่ม ลิ้งก์ หรือ Plugin ต่างๆ มาติดตั้งในเว็บไซต์ของคุณ จากนั้นพยายามแชร์บทความดีๆ จากบล็อกของคุณไปยัง Social Media อย่างสม่ำเสมอและอาจแชร์หน้าเว็บรายละเอียดสินค้าด้วยในบางครั้ง ที่สำคัญคือคุณต้องระมัดระวังในการแชร์สิ่งต่างๆ โดยอย่าไปสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นและควรใช้วาจาสุภาพครับ การแชร์ประสบการณ์ ความรู้ ความคิด การเล่าเรื่องต่างๆ การพูดคุยทักทายกัน ผู้คนจะชอบมากกว่าการเอาแต่โพสขายของ ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณเอาแต่โพสขายของบน Social Media รับรองว่าผู้คนจะวิ่งหนีคุณแน่นอน เพราะแท้ที่จริงแล้ว ผู้คนต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์ หรือคุยกับคนมากกว่าครับ ไม่ใช่คุยกับสินค้า ถ้าสิ่งต่างๆ ที่คุณแชร์โดนใจผู้เยี่ยมชมล่ะก็จะทำให้เกิดการจดจำ และการบอกต่อได้โดยอัตโนมัติ

  • เร่งสปีดด้วยการลงโฆษณา คุณอาจจะสร้างเว็บไซต์ได้อย่างอลังการ สร้าง Facebook Fan Page ได้อย่างมืออาชีพ แต่สำหรับบางคนแล้วกว่าจะมีสมาชิกแฟนเพจถึง 100 คนแรกอาจไม่ทันใจ ถ้าคุณอยากจะเห็นผลเร็ว บางครั้งคุณก็จำเป็นจะต้องเร่งสปีดด้วยการทำโฆษณาแบบเสียเงินบ้างในช่วงเริ่มต้น คุณอาจเลือกทำโฆษณาใน Search Engine หรือใน Social Media ก็แล้วแต่วัตถุประสงค์ของการทำโฆษณานั้น ว่าเป็นการเน้นขายสินค้าหรือเน้นสร้างแบรนด์ หรือเพื่อหาจำนวนสมาชิกให้ได้มากที่สุด วิธีการก็จะแตกต่างกันไป

     หากทำโฆษณาเพื่อเน้นขายสินค้า อาจทำใน Google หรือใน Facebook ก็ได้ โดยส่งผู้ที่คลิกโฆษณาเข้าไปยังหน้ารายละเอียดสินค้าโดยตรงเลย เพราะผู้ที่คลิกโฆษณา เขารู้อยู่แล้วว่าคุณกำลังโฆษณาสินค้าอยู่และเขาก็ต้องการจะดูสินค้าอยู่แล้วด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นส่งตรงไปหน้าสินค้าเลยครับ


    หากทำโฆษณาเพื่อเน้นสร้างแบรนด์ หรือหาจำนวนสมาชิก ก็อาจจะทำโฆษณาบน Facebook โดยโปรโมทกิจกรรม หรือโปรโมชั่นโดนๆ เจ๋งๆ ผ่านทาง Fan Page วิธีนี้จะได้จำนวนสมาชิกที่กด Like แฟนเพจจำนวนมาก เมื่อได้จำนวนมากพอในระดับนึงแล้ว คุณก็สามารถที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่นได้อย่างต่อเนื่อง กิจกรรมหรือโปรโมชั่นที่คุณทำขึ้น ก็จะนำไปสู่การสั่งซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ในที่สุด

   ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม หรือโปรโมชั่น หรือการพูดคุยโต้ตอบกับแฟนเพจ จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยงในการบอกต่อ เมื่อถึงตอนนั้น ก็อาจไม่จำเป็นต้องทำโฆษณาแบบเสียเงินอีกเลยก็ได้

 สรุป        มาดูกันซิว่า สิ่งที่ผมได้บอกไปทั้งหมดข้างต้น คุณจะต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้าง
  • Blog/Websiteทำบล็อกไว้สำหรับเขียนบทความ มีหน้าเว็บเพจแสดงรายละเอียดสินค้าหรืออาจใช้เขียนแอพ (โปรแกรมเสริม) อื่นๆ เพิ่มเติมได้
  • Opt-In Form แบบฟอร์มสำหรับเก็บข้อมูล ชื่อ และอีเมล์ลูกค้า เพื่อแจ้งข่าวสารทางอีเมล์ (Email Marketing)
  • Social Media เช่น Facebook,Twitter,YouTube หรือ Social Media อื่นๆ เพื่อแจ้งข่าวสาร อัพเดทบทความ แชร์วีดีโอ สร้างความสัมพันธ์ โดยเฉพาะ Facebook Fan Page สามารถสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ ได้มากมายใช้สร้างแบรนด์ได้
      พอจะเห็นแนวทางการขายของบนเน็ตกันแล้วนะครับ Website/Blog และ Social Media ล้วนแต่สำคัญทั้งนั้น ควรใช้ร่วมกัน และใช้ Email Marketing เพื่อความต่อเนื่อง จึงจะสร้างแบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่า เพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจของคุณได้มากขึ้น โดยเฉพาะหากต้องการสร้างแอพ เพื่อนำไปประกอบกิจกรรมบน Facebook Fan Page ให้เพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น เว็บไซต์คือสิ่งจำเป็นและในที่สุดแล้ว กิจกรรมพวกนั้นก็จะนำลูกค้ามาสั่งซื้อสินค้าที่เว็บไซต์ของคุณนั่นเองครับ